วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

แนะนำบล็อกค่ะ


ขอแนะนำบล็อกที่รวบรวมผลงานหนังสือนิทานอีบุ้ค (e-book) หรือหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์ ผลงานทั้งหมดจัดทำขึ้นโดยนักศึกษาที่เรียนในรายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสานสนเทศเพื่อการศึกษา สอนโดย อาจารย์อัจฉริยะ วะทา โดยบล็อกนี้มีชื่อว่า atinno.blogspot.com
มีหนังสือนิทานอีบุ้คที่เป็นฝีมือของนักศึกษาในหลายๆ สาขา หลายเรื่องน่าอ่านและสามารถโหลดเก็บไว้หรือนำไปสอนได้ด้วย 

อย่าลืมนะค่ะ เป็นเว็บที่อยากจะแนะนำ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากจะทำหนังสือแบบทำมือและทำเป็นอีบุ้ค (e-book) ก็สามารถทำได้ง่ายๆด้วยตัวคุณเองค่ะ อย่าลืม http://atinno.blogspot.com/นะค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555


โครงการเรียนรู้จากหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย
ณ บ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช

แหล่งเรียนรู้ชุมชน ครอบครัวปู่ทวดครูสิงห์ สืบสานเจตนารมย์บรรพบุรษจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียน สอนพิเศษให้กับนักเรียนในชุมชน
     
      แหล่งเรียนรู้รู้ชุมชนหรือบ้านหลังเรียนของหลวงปู่ทวดครูสิงห์ ซึ่งเป็นสถานทีบ้านหลังเล็กเปรียบเหมือนสถานศึกษาศิษย์ที่บุตรและธิดาได้สืบสานอุดมการณ์ต่อจากวิถีคิดของพ่อกับแม่ว่า ต้องการสร้างโรงเรียนให้การศึกษาแก่บุตรหลานในชุมชนตนเอง ที่บ้านกุดแคนหมู่ 6 ตำบลหนองโน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ครอบครัวปู่ทวดครูสิงห์และแม่สง่า ฤทธิเดช ได้ร่วมกันจัดตั้งแหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์แม่สง่า ฤทธิเดช เปิดสอนพิเศษให้กับนักเรียนในชุมชนตำบลหนองโน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยเปิดทำการสอนให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งสิ้น 80 คน จาก 12 หมู่บ้าน เปิดเรียนวันเสาร์ และวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 09.30 น.-12.30น.โดย โดยห้องเรียนใช้บริเวณห้องโถงข้างบ้าน และสวนหลังบ้านใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ

 โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสารสนเทศเพื่อการศึกษา

สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการคลิกที่นี่

โครงการเรียนรู้เชิงวิชาการจากหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย


ณ. “แหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์”



         โครงการบ้านหลังเรียน “แหล่งเรียนรู้ชุมชนบ้านหลังเรียนปู่ทวดครูสิงห์” บ้านกุดแคน ต.หนองโน อ.เมือง จ.มหาสารคาม เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสานต่ออุดมการณ์ของ “ปู่ทวดครูสิงห์ ฤทธิเดช” อดีตครูประชาบาลที่มีความต้องการสร้างโรงเรียนให้ชุมชน และเพื่อแก้ปัญหาเยาวชนใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนไปทำกิจกรรมเสี่ยง ด้วยการเปิดพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อกันเด็กและเยาวชนไม่ให้หลงทางเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่เสี่ยงในสังคม ให้หันมาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ภายใต้แนวคิดเด็กนำผู้ใหญ่หนุนโดยมีดร.ประสพสุข ฤทธิเดช หรือ “อาจารย์ป้าต๋อย” ผู้อำนวยการและผู้ประสานงานแหล่งเรียนรู้ชุมชนฯ

สามารถดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการ คลิกที่นี่

นิทานเรื่อง เจ้านกน้อย


นิทานเรื่อง เจ้านกน้อย
แต่งโดย นางสาวจิรินันท์ จันดา
รหัสนักศึกษา 533410010308
จำนวน 13 หน้า

          1
             2
              3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
 
13
 
สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ คลิกที่นี่

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

วันอนุรักษ์มรดกไทย


วันอนุรักษ์มรดกไทย      ตรงกับวันที่ 2 เมษายนของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงในงานด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติ

ประวัติ

คณะกรรมการอำนวยการวันอนุรักษ์มรดกไทย ได้มีมติเห็นชอบคำจำกัดความคำว่ามรดกไทย คือ "มรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงออกถึงสัญลักษณ์ของความเป็นชาติ ซึ่งได้แก่ โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ โบราณสถาน วรรณกรรม ศิลปหัตถกรรม นาฏศิลป์และดนตรี ตลอดจนถึงการดำเนินชีวิตและคุณค่าประเพณีต่างๆ อันเป็นผลผลิตร่วมกันของผู้คนในผืนแผ่นดินในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา"
คณะรัฐมนตรีซึ่งมี ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ประกาศให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็น "วันอนุรักษ์มรดกไทย" ทั้งนี้ เพื่อรณรงค์สร้างความเข้าใจ ความสำนึกรัก และหวงแหนในมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ รวมทั้งให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพิทักษ์รักษามรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งกิจกรรมเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นราชสักการะแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในฐานะทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงในงานด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติตลอดมา โดยแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการวันอนุรักษ์มรดกไทย เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการโดยมี ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการฯ อธิบดีกรมศิลปากรเป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและเอกชนรวม 28 คน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 ได้มีการจัดตั้งกองทุนอนุรักษ์มรดกไทยขึ้นทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั้งหลายได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมไทย เนื่องจากงบประมาณของรัฐมีไม่เพียงพอ

วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันอนุรักษ์มรดกไทย

1.เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญและเห็นคุณค่ามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ
2.เพื่อรณรงค์ให้มีการสงวนรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติอย่างถูกวิธี
3.เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนและภาคเอกชนได้มีความรู้สึกร่วมในความเป็นเจ้าของโบราณสถาน โบราณวัตถุและร่วมรับผิดชอบดูแลทะนุบำรุงรักษาได้เป็นมรดกไทยประจำถิ่น
4.เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น
5.เพื่อลดอัตราการสูญเสีย และการถูกทำลายของโบราณสถานโบราณวัตถุให้น้อยลง
6.เพื่อสกัดกั้นอิทธิพลของวัฒนธรรมต่างชาติ ซึ่งมีผลให้วัฒนธรรมไทยเบี่ยงเบนเปลี่ยนทิศทางไป

ทำไมต้องเรียนภาษาไทย


ทำไมต้องเรียนภาษาไทย 

 

            ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้าง บุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครืื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ และความ สัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุรการงานและดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย ได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือใน การแสวงหาความรู้ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อ แสดงภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่า ควรแก่การเรียนรู้ และอนุรักษ์และสืบสานให้ คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป 

ภาษาไทยกับคนไทย

ภาษาไทยกับคนไทย

ภาษาไทยเป็นภาษาที่เก่าเเก่ที่สุดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรากฐานมาจากออสโตรไทย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับภาษาจีน มีหลายคำที่ขอยืมมาจากภาษาจีน 

พ่อขุนรามคำเเหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พศ 1826 (คศ1283) มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดัดเเปลงมาจากบาลี เเละ สันสกฤต 

คนไทยเป็นผู้ที่โชคดีที่มีภาษาของตนเอง เเละมีอักษรไทย เป็นตัวอักษร ประจำชาติ อันเป็นมรดกล้ำค่าที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ ซึ่งเป็นเครื่องเเสดงว่าไทยเราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมสูงส่งมาเเต่โบราณกาลเเละยั่งยืนมาจนปัจจุบัน คนไทยผู้เป็นเจ้าของภาษา ควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยใช้ภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติมากว่า 700 ปีเเล้ว เเละจะยั่งยืนตลอดไป ถ้าทุกคนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย 

ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ ภาษาเป็นสื่อใช้ติดต่อกันเเละทำให้วัฒนธรรมอื่นๆเจริญขึ้น เเต่ละภาษามีระเบียบของตนเเล้วเเต่จะตกลงกันในหมู่ชนชาตินั้น ภาษาจึงเป็นศูนย์กลางยืดคนทั้งชาติ ดังข้อความ ตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์ในพระบาท สมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง "ความเป็นชาติโดยเเท้จริง" ว่า ภาษาเป็นเครื่องผูกพันมนุษย์ต่อมนุษย์เเน่นเเฟ้นกว่าสิ่งอื่น เเละไม่มีสิ่งใด ที่จะทำให้คนรู้สึกเป็นพวกเดียวกันหรือเเน่นอนยิ่งไปกว่าภาษาเดียวกัน รัฐบาลทั้งปวงย่อมรู้สึกในข้อนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้น รัฐบาลใดที่ต้องปกครองคนต่างชาติต่างภาษา จึงต้องพยายามตั้งโรงเรียนเเละออกบัญญัติบังคับ ให้ชนต่างภาษาเรียนภาษาของผู้ปกครอง เเต่ความคิดเห็นเช่นนี้ จะสำเร็จตามปรารถนาของรัฐบาลเสมอก็หามิได้ เเต่ถ้ายังจัดการเเปลง ภาษาไม่สำเร็จอยู่ตราบใด ก็เเปลว่า ผู้พูดภาษากับผู้ปกครองนั้นยังไม่เชื่ออยู่ตราบนั้น เเละยังจะเรียกว่าเป็นชาติเดียวกันกับมหาชนพื้นเมืองไม่ได้ อยู่ตราบนั้น ภาษาเป็นสิ่งซึ่งฝังอยู่ในใจมนุษย์เเน่นเเฟ้นยิ่งกว่าสิ่งอื่น" 

ดังนั้นภาษาก็เปรียบได้กับรั้วของชาติ ถ้าชนชาติใดรักษาภาษาของตนไว้ได้ดี ให้บริสุทธิ์ ก็จะได้ชื่อว่า รักษาความเป็นชาติ 

คนไทยทุกคนใช้ภาษาไทยเป็นสื่อความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นยังไม่เพียงพอ ควรจะรักษาระเบียบความงดงามของภาษา ซึ่งเเสดงวัฒนธรรม เเละ เอกลักษณ์ประจำชาติไว้อีกด้วย ดัง พระราชดำรัส สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ตอนหนึ่งว่า 
"ภาษานอกจากจะเป็นเครื่องสื่อสารเเสดงความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วโลก เเล้ว ยังเป็นเครื่องเเสดงให้เห็นวัฒนธรรม อารยธรรม เเละเอกลักษณ์ ประจำชาติอีกด้วย ไทยเป็นประเทศซึ่งมีขนบประเพณี ศิลปกรรมเเละภาษา ซึ่งเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตกาล เราผู้เป็นอนุชนจึงควรภูมิใจ ช่วยกัน ผดุงรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่บรรพบุรุษได้ อุตส่าห์สร้่างสรรค์ขึ้นไว้ให้เจริญสืบไป " 

ถ้าคุณเป็นคนไทยควรอ่านนะค่ะ^^



ในโลกนี้มีอะไรเป็นไทยแท้                    ของไทยแน่นั้นหรือคือภาษา
ซึ่งผลิดอกออกผลแต่ต้นมา                  รวมเรียกว่าวรรณคดีไทย
อนึ่งศิลป์งามเด่นเป็นของชาติ                             เช่นปราสาทปรางค์ทองอันผ่องใส
อีกดนตรีรำร่ายลวดลายไทย                               อวดโลกได้ไทยแท้อย่างแน่นอน
และอย่าลืมจิตใจแบบไทยแท้                              เชื่อพ่อแม่ฟังธรรมคำสั่งสอน
กำเนิดธรรมจริยาเป็นอาภรณ์                             ประชากรโลกเห็นเราเป็นไทย
แล้วยังมีประเพณีมีระเบียบ                 ซึ่งไม่มีที่เปรียบในชาติไหน
เป็นของร่วมรวมไทยให้คงไทย                             นี่แหละประโยชน์ในประเพณี
ได้รู้เช่นเห็นชัดสมบัติชาติ                     เหลือประหลาดล้วนเห็นเป็นศักดิ์ศรี
ล้วนไทยแท้ไทยแน่ไทยเรามี                 สิ่งเหล่านี้คือวัฒนธรรม



กลอนจาก หม่อมหลวง ปิ่น มาลากุล

เทคนิคการสอนภาษาไทยที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ


เทคนิคการสอนภาษาไทยที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

                เทคนิคหลากหลายลีลาภาษาไทย   เป็นรูปแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  ขั้นตอนการสอนประกอบด้วย 5 ขั้นตอนดังนี้
1. ปลุกใจให้เริงร่า   เป็นขั้นเตรียมความพร้อมที่จะให้นักเรียนอยากเรียนรู้เรื่องใหม่ในชั่วโมงนั้นๆ  ซึ่งการปลุกใจให้นักเรียนอยากเรียนรู้ เช่น การนำเพลง  เกม นิทาน  มานำเข้าสู่บทเรียนจะทำให้นักเรียนเกิดความสนุกสนาน และพร้อมที่จะเรียนรู้
2.  ดึงเนื้อหามาสัมพันธ์  เป็นการนำเสนอเนื้อหาเดิมเชื่อมโยงมาสู่เนื้อหาใหม่ ที่ต้องการให้นักเรียนเรียนรู้
3.  บูรณาการหลากหลาย   เป็นการจัดการเรียนรู้ที่นำกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเป็นแกน แล้วดึงกลุ่มสาระอื่นๆเข้ามาเชื่อมโยงในเนื้อหาที่เรียนรู้ในชั่วโมงนั้นๆ  เช่น ศิลปะ  คณิตศาสตร์ ฯลฯ 
4.  สรุปสิ่งที่ได้เป็นเกมต่างๆ   เป็นการนำเนื้อหาที่เรียนรู้ไปแล้วให้นักเรียนสรุปเนื้อหาที่ครูสอนไปแล้ว  โดยใช้เกมมาประกอบในการสรุปเนื้อหา เป็นการเล่นอย่างมีความรู้นั่นเอง
5.  เด็กสร้างชิ้นงานตามศักยภาพ   เป็นการนำเสนอเนื้อหาที่นักเรียนเรียนรู้ว่านักเรียนเข้าใจเนื้อหามากน้อยเพียงใด โดยทำในรูปหนังสือเล่มเล็ก  นิทานหน้าเดียว  หนังสือสามมิติ ฯลฯ

โคลงกลอน-สอนใจ


โคลงกลอน-สอนใจ

 อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก        แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
ถึงเจ็บอื่นหมื่นแสนไม่แคลนคลาย              เจ็บเจียรตายเพราะเหน็บให้เจ็บใจฯ.
"สุนทรภู่"

แม่น้ำคุ้งคดเคี้ยวก็ควรจร      ไม้ที่คดเข้าทำศรก็เชื่อได้
เหล็กที่คดทำเคียวเกี่ยวข้าวได้         อันคนคดนี้เห็นไม่ต้องการงาน.

"สุนทรภู่"

    ประเพณีตีงูให้หลังหัก      มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง
จรเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง                 เหมือนเสือขังเข้าถึงดงก็คงร้าย
อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า                ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย
ต้องคำรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย            จะทำภายหลังยากลำบากครัน.

"สุนทรภู่"


ตัวอย่างวรรคทองที่มีชื่อเสียงของสุนทรภู่


ตัวอย่างวรรคทองที่มีชื่อเสียงของสุนทรภู่

          ด้วยความที่สุนทรภู่เป็นศิลปินเอกที่มีผลงานทางวรรณกรรม วรรณคดีมากมาย ทำให้ผลงานหลาย ๆ เรื่องของ สุนทรภู่ ถูกนำไปเป็นบทเรียนให้เด็กไทยได้ศึกษา จึงทำให้มีหลาย ๆ บทประพันธ์ที่คุ้นหู หรือ "วรรคทอง" ยกตัวอย่างเช่น

 บางตอนจาก นิราศภูเขาทอง

ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย

ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป

ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ

ผลงานของสุนทรภู่ ^^


ผลงานสุนทรภู่ ประเภทนิราศมี 9 เรื่อง

1. นิราศเมืองแกลง 2350
2. นิราศพระบาท 2350
3. นิราศภูเขาทอง 2371
4. นิราศเมืองเพชร 2371-2374
5. นิราศวัดเจ้าฟ้า 2375
6. นิราศอิเหนา 2375-2378
7. นิราศสุพรรณ 2377-2380 
8. รำพันพิลาป 2385
9. นิราศพระประธม 2385-2388

กลอน สุนทรภู่ วรรณกรรม นิทาน

ประเภทนิทาน แยกเป็น ดังนี้
ประเภทนิทานมี 5 เรื่อง 1. โคบุตร 2. พระอภัยมณี 3. พระไชยสุริยา 4. ลักษณะวงศ์ 5. สิงหไกรภพ
ประเภทสุภาษิตมี 2 เรื่อง 1. สวัสดิรักษา 2. เพลงยาวถวายโอวาท
ประเภทบทละครมี 1 เรื่อง 1. อภัยนุราช
ประเภทเสภามี 2 เรื่อง 1. ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม 2. พระราชพงศาวดาร
ประเภทบทเห่กล่อมมี 4 เรื่อง 1. จับระบำ 2. กากี 3. พระอภัยมณี 4. โคบุตร

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ครูกลอนสุนทรภู่



น้อมรำลึกครูกลอนสนทรภู่            กลอนของครูเสนาะหูมิรู้หาย


ยังติดตรึงซึ้งใจไม่เสื่อมคลาย       ให้ข้อคิดหลากหลายในกวี

สุนทรภู่ครูกลอนกระฉ่อนหล้า        คนสำคัญของโลกาสมศักดิ์ศรี

ยูเนสโกยกย่องมาหลายปี             สดุดียอดกวีศรีแผ่นดิน

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วรรณคดีสโมสร


วรรณคดีสโมสร

ความหมายของวรรณคดีโดยวรรณคดีสโมสร 
                 ….พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งวรรณคดีสโมสร ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๕๗ ได้ใช้คำว่าวรรณคดีเป็นครั้งแรกและได้กำหนดลักษณะวรรณคดีว่า              
เป็นหนังสือดี กล่าวคือ เป็นเรื่องที่สมควรซึ่งสาธารณชนจะอ่านได้โดยไม่เสียประโยชน์ คือ ไม่เป็นเรื่องทุภาษิตหรือเป็นเรื่องที่ชักจูงความคิดของผู้อ่านไปในทางอันไม่เป็นแก่นสารหรือ ซึ่งจะชวนให้คิดวุ่นวายไปในทางการเมืองอันจะเป็นเครื่องรำคาญแก่รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังนี้เป็นต้น
เป็นหนังสือแต่งดี  ใช้วิธีเรียบเรียงอย่างใดๆก็ตามแต่ต้องเป็นภาษาไทยอันดีถูกต้องตามเยี่ยงที่ใช้ในโบราณกาลหรือในปัจจุบันกาลก็ได้
                ในพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ ได้กำหนดหนังสือดีและแต่งดีไว้    ประเภท คือ
                กวีนิพนธ์ คือ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน
                ละครไทย คือ แต่งเป็นกลอนแปดมีกำหนดหน้าพาทย์
                นิทาน คือ เรื่องราวอันผูกขึ้นและแต่งเป็นร้อยแก้ว
                ละครพูด
                คำอธิบาย (คือ เอสเสย์และแปมเฟลทแสดงด้วยศิลปวิทยาหรือกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง(แต่ไม่ใช่ตำราหรือแบบเรียนหรือความเรียงเรื่องโบราณคดีมีพงศาวดาร เป็นต้นให้นับว่าเป็นหนังสือที่ควรพิจารณาในวรรณคดีสโมสรตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้

บทกวีของท่านอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

@ ต้านศัตรู@        
       @ นี่ไม่ใช่ลัทธิ “ชาตินิยม”
       ไม่ใช่เรื่อง ปลุกระดม ขึ้นเข่นฆ่า
       ไม่ใช่เรื่อง คลั่งชาติ ไม่พัฒนา
       ไม่ใช่เรื่อง อมาตยา บ้าชนชั้น
      
       หากเป็นเรื่อง เอกราช อธิปไตย
       ศักดิ์ศรี ความเป็นไท ใช่ทาษนั่น
       ล่วงละเมิด หมิ่นหยาม สิ่งสำคัญ
       ไม่เคารพ กันและกัน บั่นไมตรี
      
       ผิดไม่ยอม รับกรรม ที่ทำผิด
       กลับตะบิด ตะแบงไป ในทุกที่
       ตั้งเข็มผิด ก็ผิดไกล ไปทุกที
       เงินชั่วชี้ ชั่วช้า สาริยำ
      
       หนึ่งนายทุน ทรราช ฉกาจกล้า
       สองขุนศึก เฒ่าชรา บ้าระห่ำ
       สามเจ้าตั้ง ศักดินา ออกหน้านำ
       สามศัตรู ขู่ขย้ำ ประเทศไทย
      
       ต้องร่วมมือ กำหมัด ขจัดมาร
       ต้องร่วมต้าน ร่วมสู้ ศัตรูใหม่
       ต้องเป็นใจ เดียวกัน ประสานชัย
       ต้องขับไล่ อันธพาล เผาบ้านเมือง
      
       สามัคคี คนไทย ที่ใจไท
       ไม่ยอมให้ ศัตรู มาขู่เขื่อง
       ความเป็นธรรม ต้องสำแดง ให้แรงเรือง
       ร่วมปลดเปลื้อง อยุติธรรม งำแผ่นดิน!
       



โดยท่านอาจารย์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์